มงคลครู
มงคลชีวิต
มงคลมวยไทย
ทำด้วยสายสิญจน์หรือผ้าดิบที่ครูมวยหรือพระอาจารย์เป็นผู้เขียนลงอักขระเลขยันต์คาถา
แล้วถักม้วนพันด้วยด้ายชื่งผ่านพิธีกรรม
แช่น้ำมันมะพร้าวผสมด้วยว่านสมุนไพรที่ต้มด้วยความร้อนทิ้งไว้ให้แห้งแล้วทำเป็นวงสำหรับสวมศีรษะโดยรวบเป็นหางยาวไว้ข้างหลัง
มีตำนานเล่าว่าแต่โบราณกาลครูอาจารย์ใช้อำนาจไสยศาสตร์เร้นลับสะกดบังคับให้ งูกินหาง เป็นห่วงวงกลม ซึ่งอาจจะเป็นงูหนึ่งตัวกิน ทางของมันเอง หรือสองตัวกินหางซึ่งกันและกันแล้วนำห่วงกลมที่เกิดจากงูกินหางนั้นไปย่างไฟจนแห้งสนิท จากนั้นนำไปแช่นํ้ามันมะพร้าวผสมว่านสมุนไพร แล้วจึงพันด้วยผ้ายันต์และด้ายสายสิญจน์ ปัจจุบันอำนาจไสยศาสตร์นี้ สูญหายการถ่ายทอดไปหมดแล้ว
มงคลถือเป็นเครื่องรางให้ความเป็นสิริมงคลและคุ้มกันอันตรายในอดีตใช้สวมศีรษะในขณะชกมวยไทยหรือผลักลงสวมคอขณะต่อสู้กับข้าศึกศัตรู
มงคล
มงคล
ทำด้วยสายสิญจ์ หรือผ้าดิบที่เกจิอาจารย์เป็นผู้เขียนอักขระหัวใจมนตร์
คาถาและเลขยันต์แล้วถักหรือม้วนพันด้วยด้าย
หรือด้ายสายสิญจน์
ห่อหุ้มด้วยผ้าซึ่งผ่านพิธีกรรมจากครูบาอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมทำเป็นวงสำหรับสวมศีรษะ
โดยรวบเป็นหางยาวไว้ข้างหลัง
ในอดีตมีการกล่าวถึงการใช้ไสยศาสตร์ในพิธีทำมงคล ดังนี้
การสร้างมงคลแบบที่ยาก และมีอำนาจแบบไสยศาสตร์เร้นลับที่สุด
มีตำนานเล่าว่าเป็นห่วงวงกลมทำมาจาก “งูกินหาง” อาจจะเป็นงูหนึ่งตัวกินหางของมันเอง
หรืองูสองตัวกินหางซึ่งกันและกันได้ การกินหางของงูเกิดจากอำนาจสะกดจิตหรือพลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ
แล้วนำห่วงกลมที่เกิดจากงู
กินหางนั้นไปย่างไฟจนแห้งสนิท
จากนั้นนำไปแช่น้ำมนตร์ ซึ่งหุงมาจากน้ำมันมะพร้าวผสมด้วยว่านยาสมุนไพรบางอย่าง
แล้วจึงพันไว้ด้วยผ้ายันต์หรือด้ายสายสิญจน์ หุ้มไว้อีกชั้นหนึ่ง
เล่ากันว่าพิธีกรรมเร้นลับสำหรับการสร้างมงคล เครื่องผูกศีรษะเหล่านี้
ใช้อำนาจไสยศาสตร์
ให้เคลื่อนไหวสำเร็จขึ้นมาทั้งสิ้นปัจจุบัน สูญหายการถ่ายทอดไปหมดแล้ว
มงคลถือเป็นเครื่องรางให้สิริมงคลและคุ้มกันอันตราย ในอดีตใช้สวมศีรษะในขณะชก บางคนสวมสองอันมี เวลาชกมวยหากมงคลหลุดจากศีรษะ ฝ่ายตรงข้ามก็จะหยุดชกเพื่อให้ เก็บมงคลมาสวมใหม่ แล้วจึงชกต่อเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาจะไม่มีการซ้ำเติมกันในขณะก้มลงเก็บมงคลเป็นอันขาด ส่วนนักรบในอดีตก็จะสวมมงคลออกรบโดยสวม ไว้ที่ศีรษะหรือคล้องคอ เวลาไม่ได้ใช้ก็จะเก็บรักษาไว้ในที่สูง เช่น บนหิ้ง บนตู้ หรือใส่ตะกร้าแขวนไว้สูงๆในบริเวณที่เป็นห้องพระ หรือหัวนอน เพื่อบูชาและป้องกันการศูนย์หาย หรือป้องกันใครเดินข้ามเพราะจะทำให้คาถาอาคมเสื่อมได้
มงคลถือเป็นเครื่องรางให้สิริมงคลและคุ้มกันอันตราย ในอดีตใช้สวมศีรษะในขณะชก บางคนสวมสองอันมี เวลาชกมวยหากมงคลหลุดจากศีรษะ ฝ่ายตรงข้ามก็จะหยุดชกเพื่อให้ เก็บมงคลมาสวมใหม่ แล้วจึงชกต่อเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาจะไม่มีการซ้ำเติมกันในขณะก้มลงเก็บมงคลเป็นอันขาด ส่วนนักรบในอดีตก็จะสวมมงคลออกรบโดยสวม ไว้ที่ศีรษะหรือคล้องคอ เวลาไม่ได้ใช้ก็จะเก็บรักษาไว้ในที่สูง เช่น บนหิ้ง บนตู้ หรือใส่ตะกร้าแขวนไว้สูงๆในบริเวณที่เป็นห้องพระ หรือหัวนอน เพื่อบูชาและป้องกันการศูนย์หาย หรือป้องกันใครเดินข้ามเพราะจะทำให้คาถาอาคมเสื่อมได้
ขั้นตอนในการถัก
1.
เตรียมเชือก 2 เส้น เส้นที่ 1 ยาว 5
เมตร เส้นที่ 2 ยาว 1 เมตร
3.
ถักจนได้ความยาวเท่าขนาดรอบศีรษะแล้วให้ถักต่อไปอีกประมาณ
10 เซนติเมตร
4.
วัดขนาดรอบศีรษะ ส่วนที่เกินนำมารวบไว้ นำเชือกเส้นที่ 2 มาวางไว้ตรงกลางดังภาพ
วัดขนาดรอบศีรษะ ส่วนที่เกินนำมารวบไว้ นำเชือกเส้นที่ 2 มาวางไว้ตรงกลางดังภาพ
5.
นำเชือกด้านยาวที่พาดไว้ด้านบนพันรวบปลายทั้งสองด้านเข้าหากัน
6.
มัดปลายเชือกเข้าด้วยกันให้แน่นเพื่อเวลาสวมใส่จะได้ไม่หลุดหรือหลวม จากนั้นแกะปลายเชือกออกให้เป็นพู่ แล้วตัดตกแต่งปลายพู่ให้มีความยาวเท่ากัน
การฝึกสมาธิและประโยชน์ของการทำสมาธิ
สมาธิ ในความหมายของพจนานุกรม
แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต แต่สมาธิในความหมายของการฝึกปฏิบัติ คือการทำใจให้นิ่ง
ซึ่งต่างจากร่างกายที่ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งแข็งแรง แต่จิตใจนั้นตรงกันข้าม
คือจิตใจหวั่นไหวย่อมอ่อนแอ แต่หากหยุดนิ่งเฉยได้แล้วจะยิ่งมีพลัง
เหมือนการรวมโฟกัสของแสงให้เป็นจุดเดียวกัน ย่อมมีพลังที่จะจุดไฟให้ติดได้
การทำสมาธิมีปรากฏในหลายศาสนา ซึ่งรวมถึง พุทธศาสนา ฮินดู และ เต๋า
และยังคงรวมถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เช่น โยคะ
ระดับของสมาธิในพุทธศาสนา
1.ขณิกสมาธิ สมาธิค่อยๆ เล็กน้อย ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ
2.อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอัปปนาสมาธิ
3.อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
1.ขณิกสมาธิ สมาธิค่อยๆ เล็กน้อย ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ
2.อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอัปปนาสมาธิ
3.อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ
ท่านพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พระสายธุดงที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแห่งภาคอีสาน ได้เคยให้คำอธิบายวิธีการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน เวลาที่จะทำสมาธินั้นท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆไว้ว่าทำได้ทั้งยืน เดิน นั่ง และนอน ในอิริยบททั้ง ๔ นี้เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงพอสรุปจากคำแนะนำของท่านไว้ได้ดังนี้คือ
ท่านพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พระสายธุดงที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแห่งภาคอีสาน ได้เคยให้คำอธิบายวิธีการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน เวลาที่จะทำสมาธินั้นท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆไว้ว่าทำได้ทั้งยืน เดิน นั่ง และนอน ในอิริยบททั้ง ๔ นี้เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงพอสรุปจากคำแนะนำของท่านไว้ได้ดังนี้คือ
1. การยืน ทำโดยยืนให้ตรง วางมือขวาทับมือซ้าย คว่ำมือทั้งสอง
หลับตาหรือลืมตาสุดแท้แต่จะสะดวกในการทำ แล้วเพ่งไปที่คำว่า พุทโธ
จนจิตตั้งมั่นได้
2. การเดิน เรียกว่าเดินจงกรม ให้กำหนดความสั้น ความยาว
ของเส้นทางที่จะเดินสุดแท้แต่เราเอง ควรจะหาสถานที่ และเวลาที่เหมาะสม
ไม่อึกทึกครึกโครม และไม่มีสิ่งรบกวนจากรอบข้าง นอกจากนั้นที่ที่จะเดินไม่ควรสูงๆ
ต่ำๆ แต่ควรเรียบเสมอกัน เมื่อหาสถานที่และเวลาที่เหมาะสมได้แล้วก็ตั้งสติ
อย่าเงยหน้าหรือก้มหน้านัก ให้สำรวมสายตาให้ทอดลงพอดี
วางมือทั้งสองลงข้างหน้าทับกันเหมือนกับยืน
การเดินแต่ละก้าวก็ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ โดยเดินอย่างสำรวม
ช้าๆ ไม่เร่งรีบ กำหนดรู้ในใจ
3. การนั่ง คือนั่งให้สบาย แล้วเพ่งเอาจิตไปที่การบริกรรมคำว่า พุทโธ ท่องภาวนาไว้เป็นอารมณ์ให้กำหนดรู้อยู่ในใจ
4. การนอน คือให้นอนตะแคงข้างขวา เอามือขวาวางรองศีรษะ ยืดมือซ้ายไปตามตัว ไม่นอนขด
นอนคว่ำ หรือนอนหงาย แล้วก็สำรวมสติตั้งมั่นด้วยการภาวนาคำว่า พุทโธ
ให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่นเดียวกัน
ประโยชน์ของการทำสมาธิ
“สมาธิ” ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์เฉพาะผู้ที่ฝึกเป็นประจำเท่านั้น
ยังส่งผลทางบวกไปยังบุคคลรอบตัว สังคม ชุมชน ประเทศชาติ ตลอดจนเป็นการสืบสาน
ต่ออายุพระพุทธศาสนาอีกด้วย สมาธิ
จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการผ่อนคลายในเบื้องต้น
แต่ยังส่งผลให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงความสุขอันเ ผลต่อตนเอง
1.1 ด้านสุขภาพจิต
– ส่งเสริมให้คุณภาพของใจดีขึ้น คือ ทำให้จิตใจผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดปร่ง โล่ง เบา สบาย มีความจำ และสติปัญญาดีขึ้น
– ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง และเลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น
1.2 ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ
– จะเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย ผิวพรรณผ่องใส
– มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เยือกเย็น และเชื่อมั่นในตนเอง
– มีมนุษยสัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็นผู้มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป
1.3 ด้านชีวิตประจำวัน
– ช่วยให้คลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน และการศึกษาเล่าเรียน
– ช่วยเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรง เพราะร่างกายกับจิตใจ ย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว
1.4 ด้านศีลธรรมจรรยา
– ย่อมเป็นผู้มีสัมมาทิฐิ สามารถคุ้มครองตนให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายได้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เนื่องจากจิตใจดี ทำให้ร่างกายประพฤติทางกายและวาจาดีตามไปด้วย
– ย่อมเป็นผู้ที่มีความมักน้อย สันโดษ รักสงบ และมีขันติเป็นเลิศ
– ย่อมเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ย่อมเป็นผู้มีสัมมาคารวะและมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
1.1 ด้านสุขภาพจิต
– ส่งเสริมให้คุณภาพของใจดีขึ้น คือ ทำให้จิตใจผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดปร่ง โล่ง เบา สบาย มีความจำ และสติปัญญาดีขึ้น
– ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง และเลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น
1.2 ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ
– จะเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย ผิวพรรณผ่องใส
– มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เยือกเย็น และเชื่อมั่นในตนเอง
– มีมนุษยสัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็นผู้มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป
1.3 ด้านชีวิตประจำวัน
– ช่วยให้คลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน และการศึกษาเล่าเรียน
– ช่วยเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรง เพราะร่างกายกับจิตใจ ย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว
1.4 ด้านศีลธรรมจรรยา
– ย่อมเป็นผู้มีสัมมาทิฐิ สามารถคุ้มครองตนให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายได้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เนื่องจากจิตใจดี ทำให้ร่างกายประพฤติทางกายและวาจาดีตามไปด้วย
– ย่อมเป็นผู้ที่มีความมักน้อย สันโดษ รักสงบ และมีขันติเป็นเลิศ
– ย่อมเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ย่อมเป็นผู้มีสัมมาคารวะและมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
2. ผลต่อครอบครัว
2.1 ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวเห็นประโยชน์ของการประพฤติธรรม ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
2.2 ทำให้ครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้ที่มีใจคอหนักแน่น เมื่อมีปัญหาครอบครัวหรือมีอุปสรรคอันใด ย่อมร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นให้ลุล่วงไปได้
2.1 ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวเห็นประโยชน์ของการประพฤติธรรม ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
2.2 ทำให้ครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้ที่มีใจคอหนักแน่น เมื่อมีปัญหาครอบครัวหรือมีอุปสรรคอันใด ย่อมร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นให้ลุล่วงไปได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น