วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

มงคลครู มงคลชีวิต

มงคลครู มงคลชีวิต




มงคลมวยไทย ทำด้วยสายสิญจน์หรือผ้าดิบที่ครูมวยหรือพระอาจารย์เป็นผู้เขียนลงอักขระเลขยันต์คาถา แล้วถักม้วนพันด้วยด้ายชื่งผ่านพิธีกรรม แช่น้ำมันมะพร้าวผสมด้วยว่านสมุนไพรที่ต้มด้วยความร้อนทิ้งไว้ให้แห้งแล้วทำเป็นวงสำหรับสวมศีรษะโดยรวบเป็นหางยาวไว้ข้างหลัง


          มีตำนานเล่าว่าแต่โบราณกาลครูอาจารย์ใช้อำนาจไสยศาสตร์เร้นลับสะกดบังคับให้ งูกินหาง เป็นห่วงวงกลม ซึ่งอาจจะเป็นงูหนึ่งตัวกิน ทางของมันเอง หรือสองตัวกินหางซึ่งกันและกันแล้วนำห่วงกลมที่เกิดจากงูกินหางนั้นไปย่างไฟจนแห้งสนิท จากนั้นนำไปแช่นํ้ามันมะพร้าวผสมว่านสมุนไพร แล้วจึงพันด้วยผ้ายันต์และด้ายสายสิญจน์ ปัจจุบันอำนาจไสยศาสตร์นี้ สูญหายการถ่ายทอดไปหมดแล้ว 




          มงคลถือเป็นเครื่องรางให้ความเป็นสิริมงคลและคุ้มกันอันตรายในอดีตใช้สวมศีรษะในขณะชกมวยไทยหรือผลักลงสวมคอขณะต่อสู้กับข้าศึกศัตรู



มงคล





 มงคล
ทำด้วยสายสิญจ์ หรือผ้าดิบที่เกจิอาจารย์เป็นผู้เขียนอักขระหัวใจมนตร์  คาถาและเลขยันต์แล้วถักหรือม้วนพันด้วยด้าย  หรือด้ายสายสิญจน์ ห่อหุ้มด้วยผ้าซึ่งผ่านพิธีกรรมจากครูบาอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมทำเป็นวงสำหรับสวมศีรษะ  โดยรวบเป็นหางยาวไว้ข้างหลัง ในอดีตมีการกล่าวถึงการใช้ไสยศาสตร์ในพิธีทำมงคล ดังนี้
การสร้างมงคลแบบที่ยาก  และมีอำนาจแบบไสยศาสตร์เร้นลับที่สุด มีตำนานเล่าว่าเป็นห่วงวงกลมทำมาจาก งูกินหางอาจจะเป็นงูหนึ่งตัวกินหางของมันเอง หรืองูสองตัวกินหางซึ่งกันและกันได้  การกินหางของงูเกิดจากอำนาจสะกดจิตหรือพลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ  แล้วนำห่วงกลมที่เกิดจากงู  กินหางนั้นไปย่างไฟจนแห้งสนิท จากนั้นนำไปแช่น้ำมนตร์ ซึ่งหุงมาจากน้ำมันมะพร้าวผสมด้วยว่านยาสมุนไพรบางอย่าง แล้วจึงพันไว้ด้วยผ้ายันต์หรือด้ายสายสิญจน์ หุ้มไว้อีกชั้นหนึ่ง เล่ากันว่าพิธีกรรมเร้นลับสำหรับการสร้างมงคล เครื่องผูกศีรษะเหล่านี้  ใช้อำนาจไสยศาสตร์ ให้เคลื่อนไหวสำเร็จขึ้นมาทั้งสิ้นปัจจุบัน  สูญหายการถ่ายทอดไปหมดแล้ว
มงคลถือเป็นเครื่องรางให้สิริมงคลและคุ้มกันอันตราย  ในอดีตใช้สวมศีรษะในขณะชก บางคนสวมสองอันมี  เวลาชกมวยหากมงคลหลุดจากศีรษะ ฝ่ายตรงข้ามก็จะหยุดชกเพื่อให้ เก็บมงคลมาสวมใหม่  แล้วจึงชกต่อเป็นธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมาจะไม่มีการซ้ำเติมกันในขณะก้มลงเก็บมงคลเป็นอันขาด  ส่วนนักรบในอดีตก็จะสวมมงคลออกรบโดยสวม ไว้ที่ศีรษะหรือคล้องคอ  เวลาไม่ได้ใช้ก็จะเก็บรักษาไว้ในที่สูง  เช่น บนหิ้ง บนตู้ หรือใส่ตะกร้าแขวนไว้สูงๆในบริเวณที่เป็นห้องพระ  หรือหัวนอน  เพื่อบูชาและป้องกันการศูนย์หาย  หรือป้องกันใครเดินข้ามเพราะจะทำให้คาถาอาคมเสื่อมได้

ขั้นตอนในการถัก
1.           เตรียมเชือก  2 เส้น   เส้นที่ 1  ยาว  5 เมตร    เส้นที่ 2   ยาว 1 เมตร




 2.           นำเชือกยาว 5 เมตร มามัด และถักขึ้นไปโดยนำเชือกด้านที่ยาวสอดเข้าในห่วงและดึงให้แน่น


      

                                                                                 




                        
                                                                                                                                                                           
3.           ถักจนได้ความยาวเท่าขนาดรอบศีรษะแล้วให้ถักต่อไปอีกประมาณ 10 เซนติเมตร



                                                                                                                                                                         
  
4.          
วัดขนาดรอบศีรษะ ส่วนที่เกินนำมารวบไว้ นำเชือกเส้นที่ 2 มาวางไว้ตรงกลางดังภาพ







5.           นำเชือกด้านยาวที่พาดไว้ด้านบนพันรวบปลายทั้งสองด้านเข้าหากัน

 







6.           มัดปลายเชือกเข้าด้วยกันให้แน่นเพื่อเวลาสวมใส่จะได้ไม่หลุดหรือหลวม  จากนั้นแกะปลายเชือกออกให้เป็นพู่ แล้วตัดตกแต่งปลายพู่ให้มีความยาวเท่ากัน


                                                                   
                                                 

  
การฝึกสมาธิและประโยชน์ของการทำสมาธิ
สมาธิ ในความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต แต่สมาธิในความหมายของการฝึกปฏิบัติ คือการทำใจให้นิ่ง ซึ่งต่างจากร่างกายที่ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งแข็งแรง แต่จิตใจนั้นตรงกันข้าม คือจิตใจหวั่นไหวย่อมอ่อนแอ แต่หากหยุดนิ่งเฉยได้แล้วจะยิ่งมีพลัง เหมือนการรวมโฟกัสของแสงให้เป็นจุดเดียวกัน ย่อมมีพลังที่จะจุดไฟให้ติดได้
การทำสมาธิมีปรากฏในหลายศาสนา ซึ่งรวมถึง พุทธศาสนา ฮินดู และ เต๋า และยังคงรวมถึงสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เช่น โยคะ
ระดับของสมาธิในพุทธศาสนา
1.ขณิกสมาธิ สมาธิค่อยๆ เล็กน้อย ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ
2.อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอัปปนาสมาธิ
3.อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึงสมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
การทำสมาธิสามารถทำได้ทุกขณะอิริยาบถ
ท่านพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พระสายธุดงที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งแห่งภาคอีสาน ได้เคยให้คำอธิบายวิธีการทำสมาธิในชีวิตประจำวัน เวลาที่จะทำสมาธินั้นท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆไว้ว่าทำได้ทั้งยืน เดิน นั่ง และนอน ในอิริยบททั้ง ๔ นี้เมื่อใดที่ใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงพอสรุปจากคำแนะนำของท่านไว้ได้ดังนี้คือ
1. การยืน ทำโดยยืนให้ตรง วางมือขวาทับมือซ้าย คว่ำมือทั้งสอง หลับตาหรือลืมตาสุดแท้แต่จะสะดวกในการทำ แล้วเพ่งไปที่คำว่า พุทโธ จนจิตตั้งมั่นได้
2. การเดิน เรียกว่าเดินจงกรม ให้กำหนดความสั้น ความยาว ของเส้นทางที่จะเดินสุดแท้แต่เราเอง ควรจะหาสถานที่ และเวลาที่เหมาะสม ไม่อึกทึกครึกโครม และไม่มีสิ่งรบกวนจากรอบข้าง นอกจากนั้นที่ที่จะเดินไม่ควรสูงๆ ต่ำๆ แต่ควรเรียบเสมอกัน เมื่อหาสถานที่และเวลาที่เหมาะสมได้แล้วก็ตั้งสติ อย่าเงยหน้าหรือก้มหน้านัก ให้สำรวมสายตาให้ทอดลงพอดี วางมือทั้งสองลงข้างหน้าทับกันเหมือนกับยืน การเดินแต่ละก้าวก็ให้จิตตั้งมั่นอยู่กับคำบริกรรมว่า พุทโธ โดยเดินอย่างสำรวม ช้าๆ ไม่เร่งรีบ กำหนดรู้ในใจ
3. การนั่ง คือนั่งให้สบาย แล้วเพ่งเอาจิตไปที่การบริกรรมคำว่า พุทโธ ท่องภาวนาไว้เป็นอารมณ์ให้กำหนดรู้อยู่ในใจ
4. การนอน คือให้นอนตะแคงข้างขวา เอามือขวาวางรองศีรษะ ยืดมือซ้ายไปตามตัว ไม่นอนขด นอนคว่ำ หรือนอนหงาย แล้วก็สำรวมสติตั้งมั่นด้วยการภาวนาคำว่า พุทโธ ให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว เช่นเดียวกัน
ประโยชน์ของการทำสมาธิ
สมาธิไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์เฉพาะผู้ที่ฝึกเป็นประจำเท่านั้น ยังส่งผลทางบวกไปยังบุคคลรอบตัว สังคม ชุมชน ประเทศชาติ ตลอดจนเป็นการสืบสาน ต่ออายุพระพุทธศาสนาอีกด้วย สมาธิ จึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการผ่อนคลายในเบื้องต้น แต่ยังส่งผลให้ผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงความสุขอันเ ผลต่อตนเอง
1.1 ด้านสุขภาพจิต
ส่งเสริมให้คุณภาพของใจดีขึ้น คือ ทำให้จิตใจผ่องใส สะอาด บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดปร่ง โล่ง เบา สบาย มีความจำ และสติปัญญาดีขึ้น
ส่งเสริมสมรรถภาพทางใจ ทำให้คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง และเลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดีเท่านั้น
1.2 ด้านพัฒนาบุคลิกภาพ
จะเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า มีความองอาจสง่าผ่าเผย ผิวพรรณผ่องใส
มีความมั่นคงทางอารมณ์ หนักแน่น เยือกเย็น และเชื่อมั่นในตนเอง
มีมนุษยสัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็นผู้มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป
1.3 ด้านชีวิตประจำวัน
ช่วยให้คลายเครียด เป็นเครื่องเสริมประสิทธิภาพในการทำงาน และการศึกษาเล่าเรียน
ช่วยเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรง เพราะร่างกายกับจิตใจ ย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ย่อมเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว
1.4 ด้านศีลธรรมจรรยา
ย่อมเป็นผู้มีสัมมาทิฐิ สามารถคุ้มครองตนให้พ้นจากความชั่วทั้งหลายได้ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี เนื่องจากจิตใจดี ทำให้ร่างกายประพฤติทางกายและวาจาดีตามไปด้วย
ย่อมเป็นผู้ที่มีความมักน้อย สันโดษ รักสงบ และมีขันติเป็นเลิศ
ย่อมเป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ย่อมเป็นผู้มีสัมมาคารวะและมีความอ่อนน้อมถ่อมตน
2. ผลต่อครอบครัว
2.1 ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข เพราะสมาชิกในครอบครัวเห็นประโยชน์ของการประพฤติธรรม ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีล ปกครองกันด้วยธรรม เด็กเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เมตตาเด็ก ทุกคนมีความรักใคร่สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
2.2 ทำให้ครอบครัวมีความเจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกต่างก็ทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง เป็นผู้ที่มีใจคอหนักแน่น เมื่อมีปัญหาครอบครัวหรือมีอุปสรรคอันใด ย่อมร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นให้ลุล่วงไปได้

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

องค์ความรู้เรือโบราณ

 เรือโบราณ     

                     

            เมื่อเวลา
15.00 น.วันที่ 26 เม.ย. 2556 มีชาวบ้านขุดพบซากเรือโบราณ ภายในบ่อเลี้ยงกุ้ง พบเป็นเรือไม้ตะเคียนทอง ความยาว 12 เมตร กว้าง 1.5 เมตร ลึก 1.5 เมตร ขุดจากไม้ต้นเดียว อายุกว่า 100 ปี สภาพสมบูรณ์ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ถูกขุดขึ้นมาจากก้นบ่อเลี้ยงกุ้ง
            นายเสกสรร อุบลฤทธิ์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/2 ม.2 ต.บ้านระกาศ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เจ้าของบ่อกุ้งเล่าว่า บ่อเลี้ยงกุ้งตรงที่ดังกล่าวตนเองเห็นมาตั้งแต่เกิด เนื่องจากเป็นสถานที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพมาตั้งแต่สมัยปู่ย่า ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติอะไร กระทั่ง 2 ปีที่แล้วขณะปล่อยน้ำออกจากบ่อกุ้งสังเกตเห็นมีไม้ฝังอยู่ก้นบ่อ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเนื่องจากคิดว่าอาจเป็นปีกไม้ ต่อมาก็เริ่มสังเกตเห็นว่าน่าจะเป็นเรือ แต่ก็ยังคิดว่าเป็นเรือพายลำเล็กๆ ธรรมดา กระทั่งเมื่อไม่กี่วันนี้หลังจากจับกุ้งขายหมดแล้วก็อยากจะปรับเกลี่ยดินก้นบ่อเพื่อเตรียมในการลงเลี้ยงกุ้งรอบใหม่ จึงนำรถแบ็กโฮมาขุด เมื่อขุดลงไปเล็กน้อยจึงรู้ว่าเป็นเรือลำใหญ่ และหากใช้รถแบ็กโฮขุดเรือคงจะได้รับความเสียหาย จึงให้รถแบ็กโฮหยุด จากนั้นในวันนี้ได้ระดมชาวบ้านช่วยกันขุดขึ้นมาด้วยเสียมเพื่ออยากให้เรือสมบูรณ์ที่สุด
              ด้านนายสมทรง ภู่ซ้อน รองนายก อบต.บ้านระกาศ กล่าวว่า หลังรับทราบจากชาวบ้าน ก็เดินทางมาตรวจสอบ พบว่าเป็นเรือโบราณที่ขุดจากต้นตะเคียนขนาดใหญ่ต้นเดียว จึงได้ขอให้ชาวบ้านมาช่วยกันขุดด้วยแรงงานมือขึ้นมาจากดิน จากนั้นใช้รถแบ็กโฮลากไปเก็บไว้ที่โรงเรียนวัดบางนางเพ็ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับจุดที่พบ เพื่อเก็บไว้ให้นักเรียน และเด็กรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้

          ประวัติ
มีจารึกในภาษาจาม พบในเมืองนาตรังประเทศเวียดนาม ราวศตวรรษที่ 12 เป็นหลักฐานกล่าวถึงชนชาติสยามซึ่งตั้งบ้านเรื่อนอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และอาจรู้จักการใช้เรือเป็นชาติแรก แต่หลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเดินเรือของคนไทยปรากฏอยู่บนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ. 1822-1843) แห่งกรุงสุโขทัย หลักที่ 4 ด้านที่ 4 กล่าวว่าการเดินทางด้วยเรือและถนน แสดงว่า มีการสร้างเรือมาแต่สมัยสุโขทัยแล้ว สันนิษฐานว่า ในสมัยนั้นมีการต่อเรือจากไม้ซุงทั้งต้น รวมไปถึงเรือที่ใช้ไม้กระดานต่อกันแล้วชันยา เดินทางไปมาหาสู่กันอย่างแพร่หลาย

ประเภทของเรือไทย
แบ่งตามฐานะ คือเรือหลวงกับเรือราษฏรเรือหลวง คือเรือที่ราษฎรไม่มีสิทธิ์นำมาใช้ ถือเป็นของสูง เช่น เรือพระราชพิธีในกระบวนพยุหยาตราชลมารค เรือพระที่นั่งกิ่ง เรือพระที่นั่งศรี เป็นต้น ส่วนเรือราษฎรได้แก่เรือทั่วๆ ไปที่ใช้ตามแม่น้ำลำคลอง

แบ่งตามชนิด คือเรือขุดและเรือต่อซึ่งยังอาจแบ่งออกเป็น 2 พวก คือเรือแม่น้ำพวกหนึ่ง เรือทะเลพวกหนึ่ง เรือแม่น้ำคือเรือที่ใช้ไปมาในแม่น้ำลำคลอง เป็นเรือขุดหรือเรือต่อ ได้แก่ เรือมาด เรือหมู เรือพายม้า เรือม่วง เรือสำปั้น เรืออีแปะ เรืออีโปง เรือบด เรือป๊าบ เรือชะล่า เรือเข็ม เรือสำปันนี เรือเป็ด เรือผีหลอก เรือเอี้ยมจุ๊น เรือข้างกระดาน เรือกระแชง เรือยาว เรือมังกุ เป็นต้น ส่วนเรือทะเลคือเรือที่ใช้ไปมาในทะเลและเลียบชายฝั่ง เป็นชนิดเรือต่อ ได้แก่ เรือฉลอม เรือฉลอมท้ายญวน เรือเป็ดทะเล เรือกุแหละ หรือเรือกุไหล่ เรือโล้ เรือสำเภา เรือปู เป็นต้นแบ่งโดยกำลังที่ใช้แล่น เช่น เรือพาย เรือกรรเชียง เรือแจว เรือโล้ เรือถ่อ เรือใบ

  ไม้ที่ใช้ทำเรือ
ไม้ที่ใช้ทำเรือมีทั้งไม้สัก ไม้ตะเคียน ไม้เคี่ยมหรือไม้ประดู่ซึ่งมีคุณภาพดีเหมาะในการต่อและขุดทำเป็นเรือ ไม้ตะเคียนจัดเป็นไม้ที่นิยมนำมาทำเป็นเรือ มีทั้งตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ตะเคียนหนู ตะเคียนหยก ตะเคียนไพร ฯลฯ เพราะเป็นไม้เนื้อแข็งลอยน้ำได้ดี ไม่ผุง่ายแม้จะแช่อยู่ในน้ำนานๆ เรือที่นิยมทำจากไม้ชนิดนี้ได้แก่ เรือมาด เรือหมู เรือสำเภา เรือสำเภาและเรือยาวที่ใช้ในการแข่งขัน
สำหรับไม้สักนั้นนิยมใช้ทำเรือสำบั้น สำเภา เรือชะล่า เรือกระแชง เพราะเป็นไม้เนื้อแข็ง ไม่หดแตกง่าย ส่วนไม้ประดู่มีเนื้อเหนียวเป็นพิเศษนิยมใช้ทำเรือกระแชง เรือเมล์ เรือแท็กซี่ ส่วนไม้เคี่ยมมีคุณสมบัติคล้ายไม้สักแต่เนื้อไม้แข็งกว่า มีความยืดหยุ่นและน้ำหนักมากกว่าซึ่งหายากและมีถิ่นกำเนินทางภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป

ประเพณีและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเรือ
ปัจจุบันแม้เรือจะลดความสำคัญ แต่ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับเรือยังคงมีให้เห็น อาทิ การเล่นเพลงเรือ กฐินทางน้ำ ประเพณีชักพระภาคใต้ ประเพณีตักบาตรร้อยพระ จ.ปทุมธานีประเพณีแข่งเรือ ประเพณีเกี่ยวกับการทอดผ้าป่าทางเรือ มีทั้งของหลวงและของราษฎร แตกต่างกันตรงขนาดและเครื่องไทยทาน และอีกหลากหลายประเพณีตามท้องถิ่นความเชื่อเกี่ยวกับเรือ เช่น ห้ามเหยียบหัวเรือเพราะแม่ย่านางเรือประทับตรงนั้น เป็นกุศโลบายที่ต้องการให้ใช้เรืออย่างระมัดระวัง ถนอมเพราะเรือมีราคาแพง ห้ามพายเรือยังไม่แก้โซ่จะทำให้เรือล่ม ทั้งนี้เพราะหากกระชากเรือจากโซ่แทนการแก้ออกดีๆ จะทำให้เรือชำรุดเกิดอุบัติเหตุได้ ห้ามเหยียบเรือสองแคม ความหมายตรงๆ โดยไม่เล่นสำนวนคือการเหยียบเรือ 2 แคม จะทำให้เรือล่มหรือพลิกคว่ำเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ เป็น

วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ฐานการเรียนรู้ผะหมี
ใบความรู้ที่ 1

ประวัติการละเล่นผะหมี
          อาจารย์วีระ ฉ่ำตุ๋ย อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนชุมชนวัดบ้านระกาศ  ได้เล่าให้ฟังว่า ชาวจีนในสมัยโบราณมีความรู้เกี่ยวกับการแต่งกลอน  ชอบบันทึกเรื่องราวต่างๆ เมื่อเวลามี งานเทศกาลที่สำคัญของชาวจีน เช่น เทศกาลตรุษจีน  วันไหว้พระจันทร์ งานวันไหว้บรรพบุรุษ  ชาวจีนประดับประดาโคมไฟและจะเขียนคำกลอนไว้ด้วยสีแดงไว้บนโคมไฟ แขวนไว้หน้าบ้าน เมื่อคนที่สัญจรผ่านไปมาต่อคำกลอนที่เจ้าของบ้านเขียนไว้ได้ เจ้าของบ้านจะเชิญเข้าบ้านเชิญรับประทานอาหารและจะให้เกียรติถือว่าเป็นคนมีความรู้ควรสรรเสริญ  เมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 2  ชาวจีนอพยพเข้ามาในประเทศไทยขึ้นฝั่งบริเวณชายทะเลจังหวัดระยอง และจังหวัดใกล้เคียงและพักอาศัยแถบชลบุรีกรุงเทพแถวสำเพ็ง  เมื่อถึงเทศกาลของชาวจีน ก็จะจัดพิธีเช่นเดิมมีการเขียนกลอน  คนไทยเองเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนเช่นกันก็แต่งกลอนเป็นภาษาไทย       ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีการเล่นผะหมี    โดยให้แต่งร้านแบบจีนเป็นห้องโถง  มีช่องผู้ตอบคำแก้ปริศนา  คำปริศนาเขียนบนกระดาน   สีต่างๆ ติดไว้ตามข้างฝา  ผู้ใดคิดได้ก็ปลดลงมาผู้ตอบจะต้องเสียเงิน 1 บาทก่อนแล้วจึงตอบเมื่อตอบแล้วก็อาจมีอาณัติสัญญาณดังขึ้น  ถ้าเป็นเสียงกลองดังขึ้นก็แปลว่าทายถูก จะได้รับรางวัลเป็นสิ่งของ  แต่ถ้าตอบผิดก็จะมีเสียงแก๊ก  ผู้ตอบจะต้องนำปริศนาไปไว้ที่เดิมต่อมาภายหลังทรงเรียกว่า “การทายปริศนา“



          สำหรับจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดชลบุรี หรือแม้แต่กรุงเทพฯเองก็อยู่ใกล้เคียงกัน จึงมีการละเล่นปริศนาคำทาย โจ๊ก ผะหมีกันอย่างแพร่หลาย ที่เรียกว่า “ โจ๊ก “ สันนิษฐานได้ว่า การทายปริศนานั้น ต้องใช้เวลานาน เล่นกันจนดึกดื่น  เจ้าภาพจึงต้มโจ๊กมาเลี้ยง หรืออาจเป็นได้ว่าการทายนั้น  ถ้าแปลคำว่า “โจ๊ก”  ก็คือ ตลก การทายโจ๊กเล่นแล้วตลกให้ความสนุกสนาน จึงเรียกว่า “โจ๊ก” ในพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ หรือที่เราเรียกว่าปากน้ำ นิยมเรียกการทาย “โจ๊ก” จะเล่นในงานแห่ผ้าห่มองค์พระสมุทรเจดีย์บ้าง  ในงานศพบ้าง แต่ที่อำเภอบางบ่อ นิยมเรียกว่า “ผะหมี”